หน้าหลัก
บริการ
ข่าวและบทความ
เกี่ยวกับเรา
ติดต่อ
ภาษา
เข้าสู่ระบบ

หน้าหลัก บทความสุขภาพ

กรมควบคุมโรค เตือนเข้าสู่กดูร้อน กลุ่มเสี่ยงและ คนทำงานกลางแจ้งระวัง โรคลมร้อนหรือฮีสโตรก

กรมควบคุมโรค เตือนเข้าสู่กดูร้อน กลุ่มเสี่ยงและ คนทำงานกลางแจ้งระวัง โรคลมร้อนหรือฮีสโตรก . กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนในช่วงฤดูร้อนให้ระวังการเกิดโรคลมร้อน หรือฮีทสโตรก (Heatstroke) สำหรับคนที่ทำงานกลางแจ้ง ควรเลี่ยงการสวมชุดที่มีสีเข้ม ควรดื่มน้ำสะอาดบ่อยๆ เข้าพักในที่ร่มเป็นระยะ และหากสูญเสียเหงื่อมาก ควรดื่มเครื่องดื่มประเภทเกลือแร่ เน้นย้ำโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคปอด เป็นต้น อาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ รวมถึงเด็กและหญิงตั้งครรภ์ ต้องระมัดระวังเช่นกัน . วันนี้ (18 มีนาคม 2568) นายแพทย์ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ขณะนี้กรมอุตุนิยมวิทยาได้ประกาศให้ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูร้อนตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยในหลายพื้นที่เริ่มมีอากาศร้อนปกคลุม ซึ่งกรมอุตุฯ คาดการณ์ว่าอุณหภูมิปีนี้จะลดลงกว่าปีก่อนเล็กน้อย ซึ่งอากาศที่ร้อนอบอ้าวทำให้ประชาชนเสี่ยงต่อการป่วย จากภาวะอากาศร้อนได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะโรคลมร้อน หรือ ฮีทสโตรก (Heatstroke) ที่เกิดจากภาวะที่ร่างกายร้อนจัดจนส่งผลกระทบต่อระบบต่างๆ ในร่างกาย และเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงและผู้ที่ต้องอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน ข้อมูลจาก กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค รวบรวมรายงานการเสียชีวิตที่อาจจะเกี่ยวข้องกับความร้อน จากภาวะอากาศร้อนในปี พ.ศ. 2567 พบรายงานผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 63 ราย เป็นเพศชาย 54 ราย และเพศหญิง 9 ราย อายุระหว่าง 30 – 95 ปี (เฉลี่ย 62 ปี) ประกอบอาชีพรับจ้าง ร้อยละ 25 มีรายงานการเสียชีวิตใน 31 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุดรธานี 9 ราย ชัยภูมิ นครราชสีมา และศรีสะเกษ จังหวัดละ 4 ราย ขอนแก่น บุรีรัมย์ สุรินทร์ และสมุทรสงคราม จังหวัดละ 3 ราย ชลบุรี ชัยนาท ปราจีนบุรี แพร่ ลำปาง ลำพูน และสุราษฎร์ธานี จังหวัดละ 2 ราย ฉะเชิงเทรา เชียงใหม่ นครนายก นครศรีธรรมราช น่าน ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ พระนครศรีอยุธยา พะเยา มหาสารคาม มุกดาหาร แม่ฮ่องสอน ระยอง สมุทรปราการ อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี จังหวัดละ 1 ราย . “ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวเนื่องจากภาวะอากาศร้อนสูงที่สุด ร้อยละ 54 นอกจากนี้ ผู้เสียชีวิต ส่วนใหญ่มีโรคประจำตัว ร้อยละ 51 ได้แก่ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หัวใจและหลอดเลือด พฤติกรรมและปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ การดื่มสุราในภาวะอากาศร้อน และการเสียชีวิตจากการปฏิบัติงานกลางแจ้ง ร้อยละ 62 หากจำแนกรายเดือน พบว่า มีรายงานการเสียชีวิตมากที่สุดในเดือนเมษายน ร้อยละ 70 ซึ่งเดือนเมษายน เป็นเดือนที่มีอุณหภูมิสูงถึง 44 องศาเซลเซียส (°C)” อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าว . นายแพทย์ดิเรก ขำแป้น รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ให้ข้อมูลโรคลมร้อน หรือ ฮีทสโตรก (Heatstroke) ว่าโรคนี้จะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายมีอุณหภูมิความร้อนสูงมาก โดยเฉพาะอุณหภูมิที่มากกว่า 40 องศาเซลเซียส จนทำให้ร่างกายไม่สามารถปรับตัวได้ มีอาการ คือ ตัวร้อน วิงเวียน ปวดมึนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย ภาวะขาดน้ำ เหงื่อออกมาก หัวใจเต้นแรง เป็นลม อาจมีอาการทางระบบประสาท เช่น ชัก พูดจาสับสน หากพบผู้เริ่มมีอาการดังกล่าว ขอให้รีบนำผู้ป่วยเข้าที่ร่มหรือห้องที่มีความเย็น และให้ดื่มน้ำมากๆ การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ให้ผู้ป่วยนอนราบ คลายเสื้อผ้าให้หลวม ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดตามตัว ซอกคอ รักแร้ และศีรษะ ร่วมกับใช้พัดลมเป่าระบายความร้อน หากผู้ป่วยหมดสติ ให้จับนอนตะแคงเพื่อป้องกันไม่ให้โคนลิ้นอุดตันทางเดินหายใจ และให้รีบนำส่งโรงพยาบาล หรือโทรแจ้งสายด่วน 1669 . ทั้งนี้ สามารถป้องกันฮีทสโตรกได้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคอ้วน เป็นต้น รวมทั้งเด็ก และหญิงตั้งครรภ์ ซึ่งควรปฏิบัติดังนี้ 1. หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีแดดจัดต่อเนื่องนานเกินไป 2. ดื่มน้ำสะอาดบ่อยๆ หากสูญเสียเหงื่อมากควรดื่มเครื่องดื่มประเภทเกลือแร่ 3. หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 4. หลีกเลี่ยงสถานที่ที่อากาศร้อน อับ และถ่ายเทไม่ดี 5. สวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายความร้อนได้ดี หลีกเลี่ยงใส่เสื้อผ้าสีทึบดำ เพราะจะสะสมความร้อนได้ ควรเลือกเสื้อผ้าสีอ่อน และไม่รัดแน่นจนเกินไป 6. ห้ามทิ้งใครไว้ในรถที่จอดอยู่กลางแดด โดยเฉพาะเด็กเล็ก รถที่จอดตากแดดโดยไม่เปิดเครื่องปรับอากาศอาจมีอุณหภูมิสูงขึ้นได้เร็วมากภายใน 10 – 20 นาที และ 7. ไม่ควรอยู่กลางแจ้งคนเดียว ควรอยู่เป็นกลุ่ม เพราะหากมีอาการผิดปกติจะได้มีคนช่วยเหลือได้ทัน สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422 . ข้อมูลจาก : กองระบาดวิทยา/สำนักสื่อสารความเสี่ยงฯ กรมควบคุมโรค วันที่ 18 มีนาคม 2568

ฤดูร้อนอยู่ที่นี่ คำเตือนที่เป็นไปได้สำหรับความร้อนสูงเกินไปคือ จังหวะความร้อนร่างกายไม่สามารถเย็นลงได้ทันเวลา เขาอาจจะหมดสติและเสียชีวิตได้

ฤดูร้อนอยู่ที่นี่ คำเตือนที่เป็นไปได้สำหรับความร้อนสูงเกินไปคือ จังหวะความร้อนร่างกายไม่สามารถเย็นลงได้ทันเวลา เขาอาจจะหมดสติและเสียชีวิตได้ ช่วงนี้อากาศเมืองไทยร้อนมาก อากาศร้อนขนาดไหน? คนแบบนี้สามารถถูกฆ่าได้ ไม่ค่อยพบเห็นในเมืองไทย แต่คุณควรตระหนักถึงสถานการณ์นี้ โรคลมแดดหรือโรคลมแดดมีสาเหตุหลักมาจากความร้อนในร่างกายมากเกินไป ช่องพระราม วันนี้ใครๆ ก็ควรรู้วิธีจัดการกับความร้อนจนกว่าร่างกายจะคลายความร้อนได้ โรคลมแดด หรือ โรคลมแดด เกิดจากอุณหภูมิสูงเกินไป ความร้อนสูงเกินไปสามารถแบ่งออกได้เป็นสองสาเหตุ 1. เมตาบอลิซึ่มในร่างกายสูงทำให้เกิดไข้ในกรณีที่อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น หรืออาจมีความผิดปกติในสมองซึ่งร่างกายไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้อีกต่อไป 2. ในฤดูร้อน มักพบในสภาวะที่มีอุณหภูมิภายนอก 35°C ขึ้นไป 3. สภาพแวดล้อมมีความชื้นสัมพัทธ์สูง ความชื้นสัมพัทธ์สูงทำให้ร่างกายของเราเหงื่อออก จะเพิ่มความร้อนในร่างกายและไม่สามารถกำจัดอุณหภูมิร่างกายได้ อาการที่เกิดจากความร้อนแบ่งออกเป็นหลายระยะ ฉันมักจะรู้สึกเหนื่อยเนื่องจากปวดเมื่อยตามร่างกาย โรคลมแดดเป็นอาการทั่วไปของการหมดสติและหมดสติ นี่คือสัญญาณของโรคลมแดดที่ชัดเจนที่สุด ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาทันเวลา คนกลุ่มไหนเป็นโรคลมแดด? 1. กลุ่มคนทำงานนอกบ้านและอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 2. ผู้สูงอายุหรือเด็กที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เนื่องจากถูกขังอยู่ในห้องที่ไม่มีอากาศถ่ายเท ไม่มีลมพัดพาความร้อน จะต้องสัมผัสกับอุณหภูมิสูงเป็นเวลานาน สุดท้ายฉันก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป แล้วจะทนความร้อนได้ สิ่งนี้เกิดขึ้นในผู้สูงอายุ อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ “ภาวะขาดน้ำ : ผู้สูงอายุต้องระวัง” 3. นักกีฬาอย่างนักวิ่งมาราธอนต้องเผชิญกับอากาศร้อนจัด หรือมีความชื้นสูงสามารถป้องกันไม่ให้เหงื่อออกได้ มันทำให้ไวต่อความร้อนมากกว่าตัวอื่น 4. ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงแต่กำเนิด ควรใช้ยาขับปัสสาวะ 5. ผู้ติดสุรามีแนวโน้มที่จะเป็นโรคลมแดดมากกว่าคนทั่วไป 6. สตรีมีครรภ์อาจเป็นลมและเป็นอันตรายต่อตนเองและทารกได้ อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับอุณหภูมิในหญิงตั้งครรภ์ ดูแลและป้องกันความร้อน 1. ดื่มน้ำให้มากกว่าปกติประมาณ 2-3 ลิตรต่อวัน 2. ห้ามอยู่กลางแจ้งหรือในพื้นที่ปิด 3.หากต้องอยู่บ้านนานๆควรเปิดหน้าต่าง ต้องแยกกรณีอุณหภูมิร่างกายต่ำกว่าปกติ 2 กรณี คือ ผู้ป่วยหมดสติและไม่หายใจ 1,669 ราย และเรียกบริการการแพทย์ฉุกเฉิน เพื่อรักษาผู้ป่วยอย่างรวดเร็วและทำ CPR ณ ที่เกิดเหตุ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยยังสามารถหายใจได้ ให้ร่มเงาแก่ผู้ป่วยและแต่งตัวผู้ป่วย เช็ดตัวเองด้วยผ้าเย็น หรือใช้สเปรย์ทำความเย็น เข้ากันได้กับพัดลมบน ข้อมูลจากประชาชาติธุรกิจ สำนักงานส่งเสริมสุขภาพไทย

คุณหมอเจดเองเตือนว่าแม้แต่การกรนก็อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองได้ ระบุโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้ มาดูวิธีการแก้ไขกัน บางคนอาจคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่

คุณหมอเจดเองเตือนว่าแม้แต่การกรนก็อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองได้ ระบุโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้ มาดูวิธีการแก้ไขกัน บางคนอาจคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่จริงๆ แล้วมันเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาสุขภาพ - นพ.เจส บุณย์วงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา เปิดเผยว่า แค่กรนเท่านั้น เฟซบุ๊ก นพ. Kyaukjai กล่าว โรคไหนอันตราย? มาดูวิธีการแก้ไขกัน - การนอนกรนเป็นสิ่งที่หลายคนนึกถึง ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ใครๆ ก็กรน แต่จริงๆ แล้วมันเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาสุขภาพที่อันตรายมากกว่าที่คุณคิด เมื่อก่อนหนัก 110 กก. ต้องนอนเปิด CPAP แต่ตอนนี้อาการกรนหายแล้ว มาดูอันตรายของการนอนกรนกันดีกว่า แล้วเรามาดูวิธีการแก้ไขกัน - 1. ภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (OSA) นอกจากจะสับสนเรื่องการนอนแล้ว นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (OSA) ซึ่งเกิดจากการหายใจลำบากขณะนอนราบ ทำให้หยุดหายใจเป็นระยะๆ บางคนหยุดหายใจ 10-30 วินาที แล้วตื่นขึ้นมาเพื่อเริ่มหายใจอีกครั้ง ฉันไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งนี้ - แล้วอันตรายอยู่ที่ไหนล่ะ? เมื่อออกซิเจนในเลือดน้อยลง หัวใจก็ต้องทำงานหนักขึ้น โรคอะไรก็มาได้ บางคนตื่นขึ้นมาในตอนเช้าโดยรู้สึกเหนื่อยและง่วงนอนแม้จะนอนไปเต็มชั่วโมงแล้วก็ตาม - ใครบ้างที่เสี่ยงต่อ OSA? • ผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือมีไขมันสะสมบริเวณคอ ผู้ที่มีคางเล็กหรือรูปหน้าทำให้ทางเดินหายใจตีบตัน นักดื่มผ่อนคลายกล้ามเนื้อคอก่อนเข้านอน - 2. ความดันโลหิตสูง (ความดันโลหิตสูง) เค็มมาก หลายๆ คนอาจจะทราบดีว่าอาหารที่มีไขมันหรือมันๆ สามารถเพิ่มความดันโลหิตได้ แต่นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ผู้คนไม่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ การนอนกรนเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของความดันโลหิตที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิด มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? เมื่อเราคำราม ร่างกายจะเข้าสู่โหมดสลีป โดยเฉพาะในผู้ที่เป็นโรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (OSA) “ขาดออกซิเจน” เป็นระยะๆ - สิ่งนี้ทำให้สมองและร่างกายตื่นตัวตลอดทั้งคืน แม้ว่าเราจะไม่รู้ก็ตาม ร่างกายจะต้องเป็นความลับ สิ่งต่างๆ เช่น ฮอร์โมนความเครียด อะดรีนาลีนและคอร์ติซอลกระตุ้นการหายใจ ฮอร์โมนเหล่านี้ทำให้เกิด หลอดเลือดตีบตัน ความดันโลหิตสูง กรนเสียงดังและหายใจไม่ออกบ่อยครั้ง แรงกดดันก็สูงขึ้น หากคุณกรน? กินอาหารที่ไม่ดีด้วย อันนี้ใหญ่ ทั้งสองจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ เสี่ยงต่อการตกเลือดในสมอง นอกจากนี้ไตยังทำงานหนักอีกด้วย เสี่ยงต่อภาวะไตวายอย่างรวดเร็ว - 3. อาการบวมน้ำที่ปอด หากเรากรนหนัก เราจะมีอาการหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (OSA) เป็นเวลานาน มันสามารถทำลายปอดของเราได้ ส่งผลให้มีน้ำท่วมปอด เพราะมันจะเกิดขึ้นเมื่อคุณหยุดหายใจ ออกซิเจนในเลือดจะลดลง - ร่างกายต้องพยายามชดเชยด้วยการเพิ่มความดันโลหิตไปที่ปอด ความดันโลหิตสูงในปอดสะสมและความดันในปอดสูงอาจทำให้เกิดได้ น้ำจากเส้นเลือดฝอยในปอดสามารถซึมเข้าไปในถุงลมทำให้เกิดโรคปอดบวมได้ - 4. สุขภาพจิตเสื่อมลง เสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า นอนกรนหรือหายใจขณะหลับ รบกวนการนอนหลับ หลายคนเคยประสบปัญหานี้ นอนหลับไม่ดี คุณจะรู้สึกหงุดหงิด การเปลี่ยนแปลงอารมณ์ สมองก็หมองคล้ำ เครียดง่าย ฉันไม่มีสมาธิอีกต่อไป เนื่องจากร่างกายไม่สามารถฟื้นฟูพลังงานได้เต็มที่ เมื่อคุณตื่นขึ้นมา ดังที่ได้กล่าวไปแล้วคุณจะพบกับ ก็มีโอกาสเกิดภาวะซึมเศร้าได้เช่นกัน - ปัญหาใหญ่อีกประการหนึ่งคือการกรน ซึ่งหมายความว่าคนข้างๆ นอนไม่หลับ ซึ่งอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ในครอบครัวได้ บางคนทะเลาะกัน บางคนมีห้องนอนแยกแบบนี้ แต่โชคดีที่ภรรยาผมเป็นคนหลับง่ายและไม่รังเกียจ หากใครนอนกรนต้องรีบแก้ไข วิธีแก้ปัญหาการนอนกรน? ลองปรับพฤติกรรมของคุณดังนี้ - • ควบคุมน้ำหนักของคุณ ถ้าอ้วนก็ลดน้ำหนักก่อน • นอนตะแคงเพื่อลดความเสี่ยงที่ลิ้นจะหลุดและไปปิดกั้นทางเดินหายใจ • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนเข้านอน แอลกอฮอล์ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อในลำคอ • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เสริมสร้างกล้ามเนื้อทางเดินหายใจ • ใช้ยาสูดพ่น CPAP ทุกคนที่มีปัญหา OSA รุนแรงโดยใช้เครื่องนี้ควรปรึกษาแพทย์ • พบแพทย์และตรวจสุขภาพเป็นประจำ • หากคุณกรนหนักหรือมีอาการนอนไม่หลับ คุณควรได้รับการทดสอบการนอนหลับ - ดังนั้นปล่อยมันไว้ที่นี่

หมอแล็บเตือน "โรคไข้อีดำอีแดง" มักพบในเด็ก 5 15 ปี

หมอแล็บเตือน "โรคไข้อีดำอีแดง" มักพบในเด็ก 5-15 ปี ระบาดหนักในกลุ่มเด็กนักเรียน . ไข้อีดำอีแดงระบาด บางโรงเรียนต้องหยุดเรียน! . ไข้อีดำอีแดง (Scarlet Fever) เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรีย สเตรปโตคอคคัสชนิดเอ มักจะเจอในเด็กวัยเรียน อายุ 5-15 ปี . แบคทีเรียชนิดนึ้สร้างสารพิษได้ ทำให้เกิดผื่นแดงขึ้นตามตัว เชื้อนี้สามารถติดต่อผ่าน: • การไอหรือจาม • การสัมผัสสารคัดหลั่ง เช่น น้ำลาย น้ำมูก • การใช้ของร่วมกัน เช่น ของเล่น หรือข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ อาการ ผู้ป่วยมักจะแสดงอาการภายใน 1 สัปดาห์หลังติดเชื้อ • มีไข้สูง • เจ็บคอ อาจมีหนองหรือจุดเลือดออกที่ต่อมทอนซิล • ผื่นแดงสากคล้ายกระดาษทราย เริ่มจากลำตัวและกระจายไปแขนขา มักไม่ขึ้นที่ใบหน้า แต่แก้มจะแดงและมีวงซีดรอบปาก • ลิ้นแดงเป็นปุ่มๆคล้ายสตรอเบอร์รี่ • อาการอื่น ๆ เช่น ปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน ต่อมน้ำเหลืองโต หนาวสั่น และปวดท้อง เนื่องจากเป็นเชื้อแบคทีเรีย ก็เลยรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ ซึ่งถ้าไม่รักษาอาจเกิดอาการแทรกซ้อน เช่น โรคไข้รูมาติก หรือหน่วยไตอักเสบเฉียบพลันได้ . ถ้าพบการระบาดก็ควรให้หยุดเรียนหรือแยกตัวเด็กป่วยออกจากคนอื่นจนกว่าได้ยาปฏิชีวนะไปแล้วอย่างน้อย 24 ชั่วโมงจึงจะไม่แพร่เชื้อให้ผู้อื่นต่อไปนะครับ

"บุหรี่ซอมบี้" คืออะไร บุหรี่ไฟฟ้าผสม "เอโทมีเดท" สารอันตรายที่ใช้เป็นยาสลบทางการแพทย์

"บุหรี่ซอมบี้" คืออะไร บุหรี่ไฟฟ้าผสม "เอโทมีเดท" สารอันตรายที่ใช้เป็นยาสลบทางการแพทย์ . นพ.สกานต์ บุนนาค รองอธบดีกรมการแพทย์ ระบุว่า การแพร่ระบาดของ “บุหรี่ซอมบี้” ในปัจจุบันกำลังมีแนวโน้มที่เพิ่มมากขึ้น โดยพบการลักลอบจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์และสถานที่รวมกลุ่มต่างๆ พร้อมอ้างสรรพคุณว่าทำให้ผ่อนคลายและนอนหลับสบาย อย่างไรก็ตาม บุหรี่ซอมบี้ถือเป็นภัยรูปแบบใหม่ที่ส่งผลกระทบกับสุขภาพของผู้สูบมากมาย โดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่น . “บุหรี่ซอมบี้” คืออะไร บุหรี่ซอมบี้ คือ บุหรี่ไฟฟ้าที่มีการผสมสาร “เอโทมีเดท” (Etomidate) ลงไปเพื่อให้ออกฤทธิ์เหมือนยาเสพติด ซึ่งสารดังกล่าวเป็นยานำสลบที่ใช้ในทางการแพทย์ ออกฤทธิ์กดประสาท เมื่อนำมาผสมในบุหรี่ไฟฟ้าจะทำให้ผู้สูบมีอาการง่วงซึมอย่างรุนแรง อัตราการหายใจลดลง หรือเกิดภาวะหายใจช้าลงจนเป็นอันตราย ความดันโลหิตต่ำ คลื่นไส้ อาเจียน สับสน หมดสติ และหากสูดดมในปริมาณมาก ก็อาจนำไปสู่การหายใจลำบากหรือภาวะขาดออกซิเจน ทำให้หมดสติ หยุดหายใจ . นอกจากนี้ ยังเสี่ยงในการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว และอาจส่งผลให้ระบบการทำงานของหัวใจไม่เป็นปกติ โดยเฉพาะในกรณีของคนที่มรปัญหาหรือโรคหัวใจอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงและเสียชีวิตได้ ทั้งนี้ แม้จะเลิกสูบไปแล้วก็ยังส่งผลในระยะยาวต่อฮอร์โมนที่ต่อมหมวกไต ทำให้ร่างกายไม่สามารถสร้างฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ส่งผลให้การทำงานของกล้ามเนื้อผิดปกติ . เตือนวัยรุ่นอย่าลองใช้ สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี (สบยช.) กรมการแพทย์ จึงออกมาเตือนกลุ่มวัยรุ่นและประชาชนทั่วไปที่คิดจะทดลองใช้ “บุหรี่ซอมบี้” หรือบุหรี่ไฟฟ้าที่มีการผสมยาและสารต่างๆ ลงไป ให้ตระหนักถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งร้ายแรงที่สุดอาจทำให้เสียชีวิต และไม่มีทางรู้ได้เลยว่าผู้ขายตั้งใจผสมสารชนิดในลงไป มากน้อยเพียงใด จึงอย่าหลงเชื่อคำชักชวนว่าปลอดภัยหรือลองแค่ครั้งเดียว . ทั้งนี้ ผู้ปกครองควรหมั่นสังเกตพฤติกรรมบุตรหลานอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการใช้จ่ายเงินที่มากขึ้น มีอาการง่วงซึมผิดปกติ มีการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มเพื่อน การเก็บตัวหรือหลบซ่อนในห้อง หากพบพฤติกรรมเหล่านี้ต้องรีบเข้าไปพูดคุยด้วยความรักและความเข้าใจ บอกกล่าวถึงอันตรายที่จะตามมา . หากประสบปัญหาเรื่องยาและสารเสพติด รวมถึงสุราและบุหรี่ สามารถขอรับคำปรึกษาได้ที่สายด่วนบำบัดยาเสพติด 1165 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.pmnidat.go.th หรือเข้ารับการรักษาได้ที่สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี (สบยช.) กรมการแพทย์ จังหวัดปทุมธานี และโรงพยาบาลธัญญารักษ์ในส่วนภูมิภาคทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลธัญญารักษ์เชียงใหม่ โรงพยาบาลธัญญารักษ์แม่ฮ่องสอน โรงพยาบาลธัญญารักษ์ขอนแก่น โรงพยาบาลธัญญารักษ์อุดรธานี โรงพยาบาลธัญญารักษ์สงขลา และโรงพยาบาลธัญญารักษ์ปัตตานี หรือโรงพยาบาลของรัฐทุกแห่ง ข้อมูลจาก Sanook

อันตรายที่มองไม่เห็น เมื่ออนุภาคขนาดเล็กในบุหรี่ไฟฟ้า เปรียบเท่ากับ pm2.5

อันตรายที่มองไม่เห็น เมื่ออนุภาคขนาดเล็กในบุหรี่ไฟฟ้า เปรียบเท่ากับ pm2.5 . ไอระเหยจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้า มีขนาดอนุภาคที่เล็กกว่าอนุภาคในควันบุหรี่มวน ใกล้เคียงกับขนาดของ pm 2.5 ซึ่งจะเข้าไปไนปอดเราได้ลึกมาก และอนุภาคที่เล็กมากนี้เป็นส่วนหนึ่งที่จะจับกับเนื้อเยื่อปอดและสามารถถูกดูดซึมสู่กระแสเลือดได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ซึ่งสอดคล้องกับคำกล่าวของ ศ. นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ . นอกจากนี้ ยังมีการวิจัยโดยหนูทดลอง ให้หายใจเอาไอระเหยจากบุหรี่ไฟฟ้าเข้าไปวันละ 1 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 5 วัน เมื่อผ่านไป 4 เดือน พบว่าเยื่อบุหลอดลมและถุงลมปอดมีการหลั่งสารเคมีที่บ่งบอกถึงการได้รับความระคายเคืองของเนื้อเยื่อ และมีการทำลายของเนื้อเยื่อปอด ซึ่งเหมือนกับการเปลี่ยนแปลงระยะแรกของโรคถุงลมโป่งพองในหนูที่ได้รับควันบุหรี่ธรรมดา (Garcia-Arcos วารสาร Thorax 24 สิงหาคม 2559) . จากงานวิจัยที่ ศ. นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ได้นำมาเสนอ แสดงให้เห็นแล้วว่าบุหรี่ไฟฟ้า ไม่ได้ปลอดภัยกว่าบุหรี่ธรรมดาเลย เปรียบเหมือนว่า “การที่ยางรถยนต์ระเบิดอาจทำให้อัตรายถึงแก่ชีวิตแต่เป็นสิ่งที่มองเห็นตรงหน้า แต่ถ้าหนูกัดสายเบรกขาดก็ทำให้ถึงตายเหมือนกัน แต่มันเกิดจากภายในไม่สามารถเห็นจากภายนอกได้” ละอองบุหรี่ไฟฟ้าก็เช่นกัน มันทำลายจากข้างใน ตอนนี้ยังไม่มีงานวิจัยที่ทำการศึกษาบุหรี่ไฟฟ้าระยะยาว เพราะยังอยู่ในระยะแรกที่เริ่มมีการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย แต่หากถึงเวลาที่ผลการศึกษาระยะยาวได้เผยแพร่ออกมาแล้ว จะสายเกินไปหรือไม่ที่คนไทยจะต้องมาเจ็บป่วย สูญเสียค่ารักษาพยาบาลแทนที่จะนำค่าใช้จ่ายนี้ไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นที่สร้างประโยชน์ได้มากกว่า . สมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ที่มา: - ประกิต วาทีสาธกกิจ. 2560. บุหรี่ไฟฟ้า เสี่ยงโรคปอดโรคหัวใจไม่ต่างจากบุหรี่ธรรมดา. เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์ เพื่อการไม่สูบบุหรี่ แหล่งที่มา: https://www.xn--12c8dbdcakpak3h7al.com/ สืบค้นวันที่ 8 ธันวาคม 2564

เตือนไข้หวัดใหญ่ อาจรุนเเรงถึงชีวิต เเนะฉีดวัคซีนกระตุ้น

เตือนไข้หวัดใหญ่ อาจรุนเเรงถึงชีวิต เเนะฉีดวัคซีนกระตุ้น . ไข้หวัดใหญ่ ระบาดหนักช่วงเปลี่ยนผ่านฤดู ย้ำกลุ่มเสี่ยงรับวัคซีนป้องกัน นายแพทย์สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่อินฟลูเอนซ่า (Influenza Virus) สามารถจำแนกออกเป็น 4 ชนิด ได้แก่ ชนิด เอ บี ซี และดี โดยชนิดเอและบี มักก่อให้เกิดไข้หวัดตามฤดูกาล ผู้ป่วยอาจมีอาการเริ่มต้นเหมือนไข้หวัดทั่วไป (Common cold) ส่วนใหญ่สามารถหายได้ใน 1-2 สัปดาห์ แต่บางรายอาจมีความรุนแรงทำให้เกิดปอดอักเสบและเสียชีวิตได้โดยเฉพาะผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง . การติดเชื้อไข้หวัดใหญ่จะคล้ายคลึงกับไข้หวัดทั่วไป คือ ติดต่อโดยการหายใจเอาละอองน้ำมูก น้ำลาย และเสมหะของผู้ป่วยที่ไอหรือจาม และการสัมผัสมือหรือการใช้สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ร่วมกับผู้ป่วย เช่น ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ โทรศัพท์ ของเล่น รีโมทโทรทัศน์ เมื่อใช้มือมาขยี้ตาหรือแคะจมูก เชื้อโรคก็จะเข้าสู่ร่างกายของเราได้โดยง่าย . ไข้หวัดใหญ่มักแสดงอาการที่อาจทำให้สับสนกับไข้หวัดทั่วไป โดยอาการแสดงเด่นๆ ได้แก่ ปวดศีรษะ ไอแห้ง มีน้ำมูกใส คัดจมูก ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ มีไข้สูง และอ่อนเพลีย โดยอาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันที ทั้งนี้วิธีการรักษาส่วนใหญ่จะเป็นการรักษาตามอาการในเบื้องต้น เช่น ยาลดไข้ ยาลดน้ำมูก ในผู้ป่วยบางรายที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนหรืออาการรุนแรงแพทย์จะพิจารณาให้ยาฆ่าไวรัส ซึ่งจะเข้าไปยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อไวรัส ทำไห้ลดระยะเวลาอาการเจ็บป่วย ลดอัตราการนอนโรงพยาบาล และลดโอกาสการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่น ซึ่งความจำเป็นในการใช้ยานี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและความเหมาะสมในผู้ป่วยแต่ละราย . ภาวะแทรกซ้อนของโรคที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น *ปอดอักเสบ การอักเสบของกล้ามเนื้อและเยื่อบุหัวใจ *ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท เช่น เนื้อสมองอักเสบหรือภาวะชัก . กลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน -หญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป -เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 12 ปี -ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค (ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ระหว่างการได้รับเคมีบำบัด และเบาหวาน) -ผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป -โรคธาลัสซีเมียและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง -ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน 100 กิโลกรัม หรือดัชนีมวลกายมากกว่า 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร -ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ . การป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สามารถทำได้โดย หมั่นล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่ หรือใช้แอลกอฮอล์เจลทำความสะอาดมือ ไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น เช่น แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ ช้อนอาหาร ไม่คลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการไข้หวัด หรือถ้าจำเป็นควรใส่หน้ากากอนามัย รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ กินอาหารปรุงสุกใหม่ ใช้ช้อนกลาง นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีผู้คนแออัด หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณดวงตา จมูก หรือปาก เพราะเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สามารถติดต่อได้ตามช่องทางเหล่านี้ . นอกจากนี้ควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี และที่สำคัญควรใส่หน้ากากอนามัยหากจำเป็นต้องอยู่ในสถานที่แออัดหรือมีความเสี่ยงในการติดเชื้อ เช่น โรงพยาบาล สถานีขนส่งสาธารณะ ห้างสรรพสินค้าหรือตลาดที่มีคนจำนวนมาก เป็นต้น ข้อมูลจาก : กรมการเเพทย์ PPTV Online

โรคติดเชื้อฮิวแมนเมตะนิวโมไวรัส (hMPV) เชื้อที่ระบาดช่วงหน้าฝน ทำปอดอักเสบในเด็กเล็ก

โรคติดเชื้อฮิวแมนเมตะนิวโมไวรัส (hMPV) เชื้อที่ระบาดช่วงหน้าฝน ทำปอดอักเสบในเด็กเล็ก . โรคติดเชื้อฮิวแมนเมตะนิวโมไวรัส (hMPV) เป็นอีกหนึ่งไวรัสที่ก่ออาการในระบบทางเดินหายใจ และเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ก่อให้เกิดปอดอักเสบในเด็กเล็ก การติดเชื้อนี้มักพบในเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 5 ปี โรคนี้ยังไม่มียารักษาส่วนใหญ่จะเป็นการรักษาตามอาการ ฉะนั้นหากลูกมีอาการไอ หอบเหนื่อย เป็นหวัด มีน้ำมูก ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อตรวจหาเชื้อและทำการรักษาอย่างทันท่วงที . เชื้อฮิวแมนเมตะนิวโมไวรัสคืออะไร เชื้อฮิวแมนเมตะนิวโมไวรัส (Humanmetapneumovirus: hMPV) คือ ไวรัสชนิดหนึ่งซึ่งอยู่ในกลุ่มเดียวกับ RSV ที่ทำให้เกิดอาการติดเชื้อในทางเดินหายใจแบบเฉียบพลัน ซึ่งมักพบการระบาดในช่วงปลายฤดูฝนถึงต้นฤดูหนาว คือตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม-ตุลาคม ส่วนใหญ่พบในกลุ่มเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 5 ปี และผู้สูงอายุ ในผู้ใหญ่และเด็กโต ที่มีภูมิต้านทานดีหากติดเชื้อนี้ อาจจะมีอาการเหมือนแค่เป็นหวัดธรรมดา หรือไม่มีอาการก็ได้ โดยเชื้อฮิวแมนเมตะนิวโมไวรัส สามารถติดต่อกันผ่านทาง น้ำมูก น้ำลาย ไอ หรือจาม . อาการ มีไข้ ไอเเละเป็นหวัด เจ็บคอ มีน้ำมูกและมีเสมหะ หายใจติดขัด หายใจเหนื่อย หอบ . การป้องกันการติดเชื้อฮิวแมนเมตะนิวโมไวรัส ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนสำหรับป้องกันการติดเชื้อ hMPV การป้องกันที่ดีที่สุดคือ การหลีกเลี่ยงพาเด็กเล็กไปสถานที่ชุมชนที่มีคนเยอะ เลี่ยงการใกล้ชิดผู้ป่วย การใส่หน้ากากอนามัย ไม่เอามือไปแคะจมูกหรือเอามือเข้าปาก และการล้างมือบ่อย ๆ เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อทางเดินหายใจ

สธ. เตือน! ฝุ่น PM 2.5 แนวโน้มเกินมาตรฐานถึง 15 ม.ค. ใน กทม. ปริมณฑล ภาคกลางและภาคเหนือ

สธ. เตือน! ฝุ่น PM 2.5 แนวโน้มเกินมาตรฐานถึง 15 ม.ค. ใน กทม. ปริมณฑล ภาคกลางและภาคเหนือ จากสภาพอากาศปิดและมีจุดความร้อนสูงขึ้นทั้งในและนอกประเทศ ประชาชน 38 ล้านคนเสี่ยงได้รับผลกระทบ . นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมทางไกลติดตามสถานการณ์และเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก ปี 2568 โดยมี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกแห่งเข้าร่วมโดยกล่าวว่า สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2567 - 9 มกราคม 2568 ในภาพรวมพบจังหวัดที่มีค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน 37.5 มคก./ลบ.ม. หรือระดับสีส้ม จำนวน 53 จังหวัด . โดยวันนี้ พบเกินมาตรฐานระดับมีผลกระทบต่อสุขภาพหรือสีแดง (75 มคก./ลบ.ม.ขึ้นไป) จำนวน 11 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ เพชรบุรี สมุทรสาคร สระบุรี นครปฐม พิษณุโลก นนทบุรี สมุทรปราการ ระยอง สมุทรสงคราม และราชบุรี ทั้งนี้ ค่าฝุ่น มีแนวโน้มจะเกินมาตรฐานไปจนถึงวันที่ 15 มกราคม 2568 เนื่องจากการระบายอากาศต่ำ ทำให้มีสภาพอากาศปิด รวมทั้งพบจุดความร้อนทั้งในประเทศและต่างประเทศสูงขึ้น ฝุ่นละอองจึงมีแนวโน้มสะสมมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ กทม. ปริมณฑล ภาคกลาง และภาคเหนือ . นายสมศักดิ์กล่าวต่อว่า มลพิษอากาศเป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิตมากที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก เป็น 1 ใน 5 ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) และเป็นปัจจัยเสี่ยงก่อโรคมะเร็ง ทั้งยังทำให้อายุขัยเฉลี่ยของคนไทยลดลง 1.78 ปี กระทรวงสาธารณสุขจึงมีการเฝ้าระวังแจ้งเตือนประชาชนเมื่อค่าฝุ่นสูงและเตรียมความพร้อมดูแลสุขภาพ โดยมีประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ได้รับผลกระทบ 38 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้ป่วยโรคหอบหืด ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง และเด็กเล็ก รวม 15 ล้านคน . ขอบคุณข้อมูลจาก PPTV36

ตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าว ตรวจหาโรคอะไรบ้าง

ตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าว ตรวจหาโรคอะไรบ้าง . 1.“โรคเรื้อน” เป็นโรคติดต่อเรื้อรังที่เกิดจากเชื้อ มัยโคแบคทีเรียม เลแพร เชื้อนี้ชอบ อาศัยอยู่ในเส้นประสาทและผิวหนัง เมื่อร่างกายพยายามกำจัดเชื้อนี้เส้นประสาทจึงถูกทำลายและทำให้เกิดอาการทางผิวหนังตามไปด้วย หากไม่รีบรักษาจะทำให้เกิดความพิการของมือ เท้า และตา 2.“โรคยาเสพติดให้โทษ“ อาการทางจิตจะเกิดขึ้น ต่อ การเสพยาเข้าไปใน ปริมาณมาก ๆ ติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้เกิดอาการประสาทหลอน คลุ้มคลั่ง ขาดสติ หวาดระแวงกลัวคนจะมาทำร้าย ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ อาจทำร้ายตัวเองและ ผู้อื่น 3. “วัณโรคระยะอันตราย“ ผู้ป่วยที่เป็นวัณโรคเป็นโรคติดเชื้อร้ายแรงชนิดหนึ่ง ซึ่ง โดยมากแล้วจะมีผลต่อปอด หรือที่เรียกว่า "วัณโรคปอด" ทั้งนี้ วัณโรคปอดเป็นโรคติดต่อและสามารถแพร่สู่คนผ่านละอองฝอยจากการไอและจามได้ 4. “โรคพิษสุราเรื้อรัง“ คือ กลุ่มที่ดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากติดต่อกันมาเป็นระยะ เวลานานจนไม่สามารถเลิกดื่มได้ ทำให้ส่งผลเสียต่อสภาพร่างกาย หรือการทํางาน ครอบครัว และสังคมรอบข้าง และเพื่อไม่ให้สุขภาพของผู้ป่วยมีปัญหามากขึ้นไปอีก การ หยุดดื่ม..ถือว่าเป็นทางแก้ปัญหาเพียงทางเดียว และที่สำคัญ ควรอยู่ภายใต้การดูแลของ แพทย์เพื่อให้แนวทางการรักษาเป็นไปอย่างถูกวิธี 5. “โรคเท้าช้าง“ เป็นโรคที่เกิดจากหนอนพยาธิตัวกลมฟิลาเรีย มีลักษณะคล้ายเส้นด้าย อาศัยอยู่ในระบบน้ำเหลือของคน โดยมียุงเป็นพาหะนำโรคมีอาการที่เห็นได้ชัด คือ บา แขน หรืออวัยวะเพศบวมโตผิดปกติ เนื่องจากภาวะอุดตันของท่อน้ำเหลือง 6. “โรคซิฟิลิสในยะระที่ 3“โรคซิฟิลิสเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากเชื้อ แบคทีเรีย ทรีโพนีมาพาลลิดัม (Treponema pallidum) เมื่อได้รับเชื้อจะกระจายไป ตามกระแสโลหิต ทำให้เกิดพยาธิสภาพได้เกือบทุกอวัยวะ ระยะที่สาม (ระยะแฝง) ระยะ นี้จะไม่ ปรากฏ อาการใดๆของโรค แต่สามารถตรวจพบเชื้อได้ในกระแสเลือด ผลเลือด ซิฟิลิสเป็นบวก ในสตรีที่มาฝากครรภ์และผู้ป่วยโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์มักพบโรค ซิฟิลิสระยะแฝง มากกว่าระยะอื่น 7. ตรวจการตั้งครรภ์ *สำหรับผู้หญิง 8. ตรวจโรคสุขภาพจิต

ไอกรนโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ ป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน

ไอกรนโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ ป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน . โรคไอกรน (Pertussis) โรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Bordetella Pertussis ทำให้มีการอักเสบของเยื่อบุทางเดินหายใจและเกิดอาการไอ . การติดต่อ การไอ จาม การสัมผัสสารคัดหลั่ง ระยะเวลาฟักตัวของเชื้อโรค เฉลี่ย 7 - 10 วัน . อาการ ระยะแรก ประมาณ 1 - 2 สัปดาห์ : มีน้ำมูก และไอ คล้ายโรคหวัดธรรมดา อาจมีไข้ต่ำ ๆ ตาแดง น้ำตาไหล ไอนานเกิน 10 วัน เป็นแบบไอแห้ง ๆ ระยะเข้าสู่ สัปดาห์ที่ 3 : ไอเป็นชุด ๆ ไม่มีเสมหะ จะเริ่มมีไอถี่ ๆ ติดกันเป็นชุด 5 - 10 ครั้ง ตามด้วยการหายใจเข้าอย่างแรงจนเกิดเสียง "วู๊ป (Whoop)" เป็นอยู่นาน 2 - 4 สัปดาห์ หรืออาจนานกว่านี้ได้ ในเด็กทารกอาจรุนแรง ถึงขั้นหน้าเขียว หยุดหายใจและอาจเสียชีวิต . การรักษา -พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำอุ่น -สวมหน้ากากอนามัย เมื่อมีไอหรือจาม -หลีกเลี่ยงสิ่งที่กระตุ้นการไอ เช่น การออกแรง ฝุ่นละออง ควันไฟ ควันบุหรี่ -หลีกเลี่ยงไปที่ชุมชน ล้างมือบ่อย ๆ . ข้อมูลจาก: คณะเเพทย์วชิรพยาบาล . โรงพยาบาลเออีซี AEC Hospital “การรักษาพยาบาล ที่ไร้พรมแดน”

บริการตรวจสุขภาพขอใบรับรองแพทย์เพื่อทำใบอนุญาตทำงาน (Work Permit)

บริการตรวจสุขภาพขอใบรับรองแพทย์เพื่อทำใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) . ตรวจสุขภาพขอใบรับรองแพทย์เพื่อทำ Work Permitซักประวัติและตรวจร่างกายโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ตรวจสุขภาพครอบคลุม 6 โรค *โรคเรื้อน (Leprosy) *วัณโรคระยะอันตราย (Advanced Pulmonary Tuberculosis) *โรคยาเสพติดให้โทษ (Drug Addiction) *โรคพิษสุราเรื้อรัง (Chronic Alcoholism) *โรคเท้าช้าง (Elephantiasis) *โรคซิฟิลิสในระยะที่ 3 (VDRL) . โรงพยาบาลเออีซีบริการออกหน่วยเคลื่อนที่ตรวจสุขภาพประจำปีให้กับ พนักงานบริษัท, หน่วยงานภาครัฐฯ, ภาคเอกชนทั่วไป โดยเราให้บริการตรวจสุภาพในและนอกสถานที่ให้บริการตรวจสุขภาพ โดยทีมแพทย์ พยาบาล รถเอกซเรย์เคลื่อนที่ ออกให้บริการที่สถานที่สถานประกอบการ ซึ่งท่านจะได้รับความสะดวกสบายในการรับบริการและไม่เสียเวลา ค่าใช้จ่าย ในการเดินทางมารับบริการที่โรงพยาบาล . สอบถามรายละเพิ่มเติมได้ที่ 061-350-6197

ใบรับรองแพทย์การตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าวต้องตรวจอะไรบ้าง……

ใบรับรองแพทย์การตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าวต้องตรวจอะไรบ้าง…… การตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าว ในใบรับรองแพทย์จะต้องระบุตรวจผ่านให้ครบทั้ง 7 โรค ดังนี้ 1.“โรคเรื้อน” เป็นโรคติดต่อเรื้อรังที่เกิดจากเชื้อ มัยโคแบคทีเรียม เลแพร เชื้อนี้ชอบ อาศัยอยู่ในเส้นประสาทและผิวหนัง เมื่อร่างกายพยายามกำจัดเชื้อนี้เส้นประสาทจึงถูกทำลายและทำให้เกิดอาการทางผิวหนังตามไปด้วย หากไม่รีบรักษาจะทำให้เกิดความพิการของมือ เท้า และตา 2.“โรคยาเสพติดให้โทษ“ อาการทางจิตจะเกิดขึ้น ต่อ การเสพยาเข้าไปใน ปริมาณมาก ๆ ติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้เกิดอาการประสาทหลอน คลุ้มคลั่ง ขาดสติ หวาดระแวงกลัวคนจะมาทำร้าย ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ อาจทำร้ายตัวเองและ ผู้อื่น 3. “วัณโรคระยะอันตราย“ ผู้ป่วยที่เป็นวัณโรคเป็นโรคติดเชื้อร้ายแรงชนิดหนึ่ง ซึ่ง โดยมากแล้วจะมีผลต่อปอด หรือที่เรียกว่า "วัณโรคปอด" ทั้งนี้ วัณโรคปอดเป็นโรคติดต่อและสามารถแพร่สู่คนผ่านละอองฝอยจากการไอและจามได้ 4. “โรคพิษสุราเรื้อรัง“ คือ กลุ่มที่ดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากติดต่อกันมาเป็นระยะ เวลานานจนไม่สามารถเลิกดื่มได้ ทำให้ส่งผลเสียต่อสภาพร่างกาย หรือการทํางาน ครอบครัว และสังคมรอบข้าง และเพื่อไม่ให้สุขภาพของผู้ป่วยมีปัญหามากขึ้นไปอีก การ หยุดดื่ม..ถือว่าเป็นทางแก้ปัญหาเพียงทางเดียว และที่สำคัญ ควรอยู่ภายใต้การดูแลของ แพทย์เพื่อให้แนวทางการรักษาเป็นไปอย่างถูกวิธี 5. “โรคเท้าช้าง“ เป็นโรคที่เกิดจากหนอนพยาธิตัวกลมฟิลาเรีย มีลักษณะคล้ายเส้นด้าย อาศัยอยู่ในระบบน้ำเหลือของคน โดยมียุงเป็นพาหะนำโรคมีอาการที่เห็นได้ชัด คือ บา แขน หรืออวัยวะเพศบวมโตผิดปกติ เนื่องจากภาวะอุดตันของท่อน้ำเหลือง 6. “โรคซิฟิลิสในยะระที่ 3“โรคซิฟิลิสเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากเชื้อ แบคทีเรีย ทรีโพนีมาพาลลิดัม (Treponema pallidum) เมื่อได้รับเชื้อจะกระจายไป ตามกระแสโลหิต ทำให้เกิดพยาธิสภาพได้เกือบทุกอวัยวะ ระยะที่สาม (ระยะแฝง) ระยะ นี้จะไม่ ปรากฏ อาการใดๆของโรค แต่สามารถตรวจพบเชื้อได้ในกระแสเลือด ผลเลือด ซิฟิลิสเป็นบวก ในสตรีที่มาฝากครรภ์และผู้ป่วยโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์มักพบโรค ซิฟิลิสระยะแฝง มากกว่าระยะอื่น 7. ตรวจการตั้งครรภ์ *สำหรับผู้หญิง

“HPV” รู้จักไวรัสนี้ให้ดีเพื่อป้องกันในอนาคต

“HPV” รู้จักไวรัสนี้ให้ดีเพื่อป้องกันในอนาคต HPV คืออะไร มีกี่ประเภท HPV เป็นเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า เชื้อแปปิโลมา หรือเอชพีวี (HPV) ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดการติดเชื้อเนื้อเยื่อบุผิว ส่งผลให้เกิดโรคบริเวณอวัยวะเพศและทวารหนัก พบได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย โดยมีมากกว่า 100 สายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ที่อันตรายต่อร่างกายมากที่สุดคือ สายพันธุ์ 16 และ 18 . ติดง่ายแค่ไหน การแพร่กระจายเชื้อเป็นอย่างไร การติดเชื้อ HPV มักติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก ปาก โดยแพร่เชื้อผ่านรอยแผล หรือรอยขีดข่วนตามผิวหนัง หรือสัมผัสผิวหนัง อีกทั้งสิ่งของปนเปื้อนเชื้อจากผู้ป่วย ที่น่าเป็นห่วงคือ หญิงตั้งครรภ์ที่มีเชื้อ HPV อาจแพร่เชื้อสู่ลูกระหว่างการคลอดได้ ด้วยการสัมผัสเชื้อโดยตรงหรือการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งผู้ที่มีเชื้อ HPV อยู่ในร่างกายมักไม่มีอาการแสดงใด ๆ จึงอาจแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว . อาการเมื่อติดเชื้อ HPV เป็นอย่างไร ผู้ที่ติดเชื้อ HPV ส่วนใหญ่จะไม่แสดงอาการ เพราะระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะกำจัดเชื้อไวรัสได้ก่อนเป็นหูด ซึ่งลักษณะของหูดจะแตกต่างตามสายพันธุ์ไวรัส ได้แก่ - หูดทั่วไป จะเป็นตุ่มเล็ก ๆ ที่อาจขึ้นตามมือ นิ้ว ข้อศอก มีสีเนื้อ สีขาว สีชมพู สีน้ำตาลอ่อน บริเวณที่พบคือ มือ นิ้วมือ ข้อศอก แม้ไม่อันตราย แต่อาจทำให้เจ็บปวด โดยผิวหนังที่เกิดหูดอาจมีเลือดออกได้ง่าย - หูดแบนราบ จะมีสีเข้มกว่าปกติและนูนขึ้นมาเล็กน้อย มีขนาดเล็ก พื้นเรียบ เกิดขึ้นได้ทุกส่วนของร่างกาย โดยผู้หญิงมักพบที่ขา ผู้ชายมักพบที่เครา เด็กมักพบที่ใบหน้า - หูดบริเวณอวัยวะเพศ หรือหูดหงอนไก่ เป็นติ่งเนื้อคล้ายดอกกะหล่ำที่เกิดขึ้นบริเวณอวัยวะเพศหญิง อวัยวะเพศชาย และทวารหนัก มักรู้สึกคัน แต่ไม่เจ็บปวด - หูดบริเวณฝ่าเท้า มักขึ้นตรงส้นเท้าหรือเนินปลายเท้า มีลักษณะเป็นตุ่มแข็ง ไม่ว่ายืนหรือเดินจะรู้สึกเจ็บ . กลุ่มเสี่ยงติดเชื้อ HPV คือใคร - หญิงชายที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย -เด็กและวัยรุ่น โดยเฉพาะเด็กวัยเจริญพันธุ์ - ผู้ที่มีแผลหรือรอยขีดข่วนตามผิวหนัง - ผู้ที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ ฯลฯ - ผู้ที่สัมผัสหูดหรือสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อโดยไม่ได้สวมถุงมือเพื่อป้องกัน - ผู้ที่ใช้สถานที่ที่มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย เช่น ห้องอาบน้ำสาธารณะ สระว่ายน้ำ ฯลฯ . วิธีป้องกันการติดเชื้อ HPV ทำอย่างไร - ผู้ที่มีอายุ 9 – 26 ปี แนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อ - - HPV สายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูก 4 ชนิด - ผู้หญิงที่มีอายุ 21 – 65 ปี ควรตรวจคัดกรองมะเร็ง- - ปากมดลูกเป็นประจำทุกปี - สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ - ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย - ไม่ควรแกะหรือเกาหูดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่น - สวมรองเท้าเมื่ออยู่ในสถานที่ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น สระว่ายน้ำสาธารณะ ห้องอาบน้ำรวม ฯลฯ

8 โรคยอดฮิต ที่มาช่วงปลายฝนต้นหนาว ได้แก่อะไรบ้างนะ ปลายฝนต้นหนาว เสี่ยง 8 โรคยอดฮิตนี้

ปลายฝนต้นหนาว คือช่วงรอยต่อระหว่างฤดูฝนกับฤดูหนาว และแน่นอนว่าอากาศในช่วงนี้ จะลดต่ำลงเกือบทุกภูมิภาคของประเทศไทย แถมยังมีมรสุมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง สภาพอากาศแปรปรวนบ่อย เป็นสาเหตุทำให้เจ็บป่วยได้หลายโรค . เราได้รวบรวม 8 โรคยอดฮิต ที่มาช่วงปลายฝนต้นหนาว ได้แก่อะไรบ้างนะ ปลายฝนต้นหนาว เสี่ยง 8 โรคยอดฮิตนี้ . 1. โรคไข้หวัดใหญ่ (Flu) 2. โรคปอดบวม (Pneumonia) 3. โรคไข้หวัด (Common cold) 4. โรคหอบหืด (asthma) 5. โรคไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus) 6. โรคอุจจาระร่วง (diarrhea) 7. โรคมือ เท้า ปาก (Hand Foot Mouth Disease) 8. โรคหัด (Measles / Rubella) . วิธีดูแลตนเองในช่วง ปลายฝนต้นหนาว 1. หลีกเลี่ยงการสัมผัส หรือคลุกคลีกับผู้ป่วย รวมทั้งไม่ใช้สิ่งของรวมกับผู้ป่วย เช่น จาน ช้อนส้อม แก้วน้ำ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ฯลฯ ถ้ามีผู้ป่วยในบ้าน ควรให้ปิดปากด้วยหน้ากากอนามัย เวลาไอ หรือจาม 2. ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำและสบู่อย่างถูกวิธี หรือใช้แอลกอฮอล์เจลทำความสะอาดมือ 3. ช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 ไข้หวัดใหญ่ ควรหลีกเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่ที่มีคนแออัดอากาศถ่ายเทไม่สะดวก 4. กินอาหารที่มีประโยชน์ งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากจะทำให้ระบบภูมิต้านทานโรคในร่างกายต่ำลง และติดเชื้อได้ง่าย 5. ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ รักษาร่างกายให้อบอุ่น และไม่ใส่เสื้อผ้าที่เปียกชื้น 5. เมื่อเริ่มมีอาการไข้หวัด ควรนอนพักมาก ๆ และดื่มน้ำบ่อย ๆ ถ้าตัวร้อนมาก กินยาลดไข้ และใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดตัว หรือถ้าอาการไม่ดีขึ้น เช่น มีอาการไอมากขึ้น แน่นหน้าอก มีไข้นานเกิน ๒ วัน ควรไปพบแพทย์ทันที 6. หากมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ และมีประวัติใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นไข้หวัดใหญ่ ควรไปพบแพทย์ทันที . พร้อมเปิดให้บริการแบบเต็มรูปแบบเร็ว ๆ นี้ โรงพยาบาลเออีซี AEC Hospital

ทำไมสาว ๆ ถึงควรตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม

ทำไมสาว ๆ ถึงควรตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม . ทำไมถึงควรตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม ในปัจจุบัน มะเร็งเต้านม ถือเป็น ‘มะเร็งที่พบบ่อยที่สุดของผู้หญิงไทย’ และยังเป็นสาเหตุอันดับ 1 ของการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งของผู้หญิงไทยด้วย แต่เราสามารถลดสถิตินี้ลงได้ ด้วยการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมที่เรียกว่า ดิจิตอลแมมโมแกรม ซึ่งสามารถตรวจพบความผิดปกติต่างๆ ของเต้านม รวมถึงค้นหามะเร็งเต้านมในระยะเริ่มแรกได้ดี นำไปสู่การรักษาที่รวดเร็ว และเพิ่มโอกาสหายขาดได้มากกว่าการตรวจพบภายหลังเมื่ออยู่ในระยะลุกลามแล้ว . ใครบ้างที่เสี่ยงเป็น “มะเร็งเต้านม” *ผู้หญิงทุกคนล้วนมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม แต่จะมีความเสี่ยงมากน้อยแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมหลายอย่าง เช่น *ผู้หญิงที่มีประวัติสมาชิกในครอบครัวเคยเป็นมะเร็งมาก่อน ย่อมมีความเสี่ยงสูง *ผู้หญิงที่มีพันธุกรรมผิดปกติที่เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม *ผู้หญิงที่ไม่มีลูก หรือมีลูกคนแรกหลังอายุ 30 ปี *ผู้หญิงที่ได้รับฮอร์โมนเพศหญิงจากภายนอกเป็นเวลานาน เช่น การใช้ยาที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเพศหญิง *ผู้หญิงที่มีภาวะอ้วน และดื่มแอลกอฮอล์มากๆ เป็นประจำ . อาการแบบไหน? อาจใช่ “มะเร็งเต้านม” ที่ต้องรีบไปตรวจ *คลำพบก้อนเนื้อบริเวณเต้านม หรือใต้รักแร้ รู้สึกเจ็บบริเวณเต้านม *ผิวหนังของเต้านมผิดปกติไปจากเดิม เช่น มีรอยบุ๋มคล้ายลักยิ้ม บวมหนาคล้ายเปลือกส้ม หรือมีรอยบวมแดง *มีของเหลวไหลออกมาจากหัวนม มีแผลบริเวณเต้านมหรือหัวนม โดยเฉพาะแผลที่รักษาแล้วไม่หาย *หากมีอาการเหล่านี้ แพทย์มักตรวจพบว่ามีความสัมพันธ์กับมะเร็งเต้านม ดังนั้นแม้มีอาการเหล่านี้เพียงเล็กน้อย ก็ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดจะดีกว่า จะได้เริ่มทำการรักษาอย่างตรงจุดให้เร็วที่สุด ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายจากโรคได้ . อันตรายของ “มะเร็งเต้านม” หากพบว่าตนเองมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม แต่ไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัยแต่เนิ่นๆ อาจส่งผลให้ก้อนมะเร็งที่เกิดขึ้นบริเวณเต้านมขยายใหญ่และลุกลามไปยังอวัยวะอื่นๆ ของร่างกายได้ เช่น ตับ ปอด สมอง และกระดูก ซึ่งการแพร่กระจายของมะเร็งอาจเป็นระยะสุดท้ายของมะเร็งแล้ว ทำให้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ และมีอัตราของการรอดชีวิตที่น้อยลง ดังนั้น การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมอย่างสม่ำเสมอแม้ไม่มีอาการสงสัย จะเป็นการเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้ โดยปัจจุบันการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือการตรวจที่เรียกว่า “ดิจิตอลแมมโมแกรม” นั่นเอง

ร่างกายสูงวัยตรวจสุขภาพอย่างไรดี?

ร่างกายสูงวัยตรวจสุขภาพอย่างไรดี . ผู้สูงวัยคือใคร จริงๆ แล้วมีหลายเกณฑ์หลายมาตรฐานที่กำหนดอายุของ “ผู้สูงวัย” ซึ่งก็แตกต่างกันออกไป แต่สำหรับคนรักสุขภาพ ถ้ามองในมุมของการตรวจสุขภาพประจำปี เมื่อใครก็ตามที่กำลังก้าวเข้าสู่วัย “50 ปีขึ้นไป” ก็ควรได้รับการตรวจสุขภาพรอบด้านแบบที่ “ผู้สูงวัย” ควรได้รับ ซึ่งจะเป็นการตรวจสุขภาพที่ครอบคลุมมากขึ้นตามความเสี่ยงของอายุ และความเสื่อมของร่างกายที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง . ผู้สูงวัยควรตรวจอะไรบ้าง เริ่มจาก... แพทย์จะทำการซักปะวัติ และประเมินจากการตรวจร่างกายทั่วไป เช่น ส่วนสูง น้ำหนัก ดัชนีมวลกาย ความดันโลหิต การเต้นของหัวใจ ระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด รวมถึงตรวจการได้ยิน การมองเห็น แล้วประเมินเรื่องความจำ และภาวะทางอารมณ์ เพราะผู้สูงวัยส่วนใหญ่มักเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้า . นอกจากนี้ยังจะมีการตรวจภาวะกระดูกว่ายังแข็งแรงหรืออ่อนบางลงมากน้อยเพียงใด มีความพรุนหรือไม่ ดูการเดิน การทรงตัวว่ามีแนวโน้มการเป็นโรคข้อเสื่อมหรือไม่ หรือเสี่ยงต่อการหกล้มง่ายหรือไม่ เพราะในทางการแพทย์พบว่าราว 50% ของผู้ที่อายุมากกว่า 50 ปี จะมีภาวะกระดูกเสื่อม ผุ กร่อน บางลง ทำให้กระดูกหักง่ายและต่อติดได้ยาก . ยิ่งกว่านั้น ยังควรได้รับการตรวจสมรรถภาพในการทำงานของอวัยวะต่างๆ อย่างละเอียด โดยมุ่งไปที่การประเมินความเสี่ยงโรคที่เกิดจากความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ เช่น หัวใจ ปอด ตับ (มะเร็งตับ) ไต (ไตวาย) สมอง (สมองเสื่อม) ช่องท้อง สำไส้ (มะเร็ง) โดยการตรวจอุจจาระเพื่อดูว่ามีเลือดปนออกมาหรือไม่ และตรวจทางทวารหนักด้วย . หากมีแนวโน้มหรือพบข้อสงสัย แพทย์ก็จะแนะนำให้ตรวจส่องกล้องทางทวารหนัก โดยจะใช้กล้องที่มีลักษณะเป็นท่อขนาดเล็กโค้งงอได้ สอดเข้าไปทางทวารหนักเพื่อตรวจดูลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ส่วนกลาง และส่วนต้น รวมถึงลำไส้เล็กส่วนปลาย เพื่อตรวจดูว่ามีติ่งเนื้อในลำไส้ แผล หรือสิ่งที่น่าจะก่อให้เกิดมะเร็งสำไส้ในอนาคตหรือไม่ . สำหรับในผู้ชายสิ่งที่ควรตรวจเพิ่มเติมคือ ความเสี่ยงโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ส่วนในผู้หญิงคือการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม ( Mammogram) ตรวจภายในนรีเวชและมะเร็งปากมดลูกอย่างน้อยปีละครั้ง . โรคหลอดเลือดตีบ ตัน โรคสำคัญที่พบบ่อยในผู้สูงวัย โรคหลอดเลือดตีบ ตัน ในผู้สูงอายุ หรือแม่แต่คนอายุน้อยๆ ส่วนใหญ่มักจะไม่แสดงอาการจนกว่าจะเข้าขั้นวิกฤติ ดังนั้นถ้าจะรอให้โรคแสดงอาการก็หมายความว่าเส้นเลือดต่างๆ เริ่มตีบมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ซึ่งก็สร้างความเสี่ยงโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เส้นเลือดในสมองตีบก็สร้างความเสี่ยงโรคเส้นเลือดในสมองตีบตันหรือแตก ซึ่งนำไปสู่ภาวะการเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตได้ ผู้สูงอายุจึงควรเข้ารับการตรวจสุขภาพเพื่อประเมินความเสี่ยง หากพบว่าเริ่มมีไขมันในหลอดเลือดสูง มีน้ำตาลในเลือดสูง มีภาวะโรคอื่นๆ เช่น โรคเบาหวานร่วมด้วย อาจจำเป็นต้องได้รับยาในเบื้องต้น ร่วมกับการปรับพฤติกรรม เพื่อป้องกันไม่ให้โรคดำเนินไปอย่างรวดเร็ว หากดูแลและปรับพฤติกรรมได้ดี ระดับไขมันและน้ำตาลในเลือดก็จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ . วิเคราะห์ไลฟ์สไตล์... เพื่อปรับเปลี่ยนสู่สุขภาพที่ดีกว่า นอกจากการตรวจเลือด การเอกซเรย์ หรือการประเมินด้วยเครื่องมือแพทย์ต่างๆ แล้ว การวิเคราะห์ไลฟ์สไตล์หรือการใช้ชีวิตประจำวันของผู้สูงวัยก็มีความจำเป็น เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ การรับประทานอาหารหวาน มัน เค็ม อาหารแปรรูป รสจัด การออกกำลังกาย การนอนหลับพักผ่อน ความเครียด การขับขี่ยานพาหนะ หรือแม้แต่การกินยารักษาโรคประจำตัว การใช้ฮอร์โมน รวมไปถึงความเสี่ยงของโรคทางพันธุกรรม เช่น โรคสมองเสื่อม โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิต โรคหัวใจขาดเลือด โรคเก๊าต์ โรคไทรอยด์ และโรคมะเร็งบางชนิด การประเมินสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้การดูแลสุขภาพโดยรวมกลับมาดีขึ้นได้ด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรม . การตรวจสุขภาพประจำปีของผู้สูงวัย ไม่ได้เหมาะกับแค่คนรักสุขภาพเท่านั้น แต่ถือว่ามีความจำเป็นและควรใส่ใจ เพราะการได้รู้ว่าอวัยวะภายในของเราเสื่อมไปแค่ไหน ยังทำงานได้ 100% อยู่หรือไม่ มีส่วนใดควรระวัง ควรได้รับการรักษาหรือดูแลเป็นพิเศษ ก็จะช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดีขึ้น ความเสี่ยงเป็นโรคร้ายก็ลดน้อยลง หรือแม้หากพบโรคที่รักษายาก การพบเร็วก็มีโอกาสในการรักษาหายที่มากกว่า เจ็บตัวน้อยกว่า และประหยัดค่าใช้จ่ายได้ดีกว่าการรักษาเมื่อโรคลุกลามไปมากแล้ว เราทุกคนจึงควรใส่ใจ โดยกำหนดช่วงเวลาในการตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกๆ ปี

5 สัญญาณ เตือนภาวะเสี่ยงโรคหัวใจและะหลอดเลือดสมอง

5 สัญญาณ เตือนภาวะเสี่ยงโรคหัวใจและะหลอดเลือดสมอง . หัวใจ เป็นอวัยวะสำคัญที่เป็นเหมือนศูนย์กลางควบคุมการทำงานของอวัยวะภายในร่างกายให้ทำงานต่อไปได้ หากเกิดความผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่งกับหัวใจ ร่างกายมักจะส่งสัญญาณเตือนถึงความผิดปกติบางอย่างโดยเฉพาะโรคที่อันตรายถึงชีวิต อย่างโรคหัวใจขาดเลือด ซึ่งประเทศไทยพบว่า 45% ของการเสียชีวิตเฉียบพลันเกิดจากโรคหัวใจขาดเลือด ดังนั้นเราควรต้องหมั่นสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกาย เพราะการทราบถึงสัญญาณเตือนดังกล่าว จะช่วยให้รักษาชีวิตอย่างทันท่วงที . โรคหัวใจขาดเลือด เกิดขึ้นได้ทั้งขณะทำงาน เล่นกีฬา หรือขณะพักผ่อน เนื่องจากมีภาวะหลอดเลือดแดงแข็งและมีรอยปริของผนังหลอดเลือด ทำให้มีลิ่มเลือดและไขมันมาเกาะที่ผนังและก่อตัวเป็นตะกรัน เกิดการอุดตันของหลอดเลือด ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตเฉียบพลันได้ . สาเหตุโรคหัวใจขาดเลือดในปัจจุบันพบว่า มักเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นการสูบบุหรี่จัด ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป พฤติกรรมการรับประทานอาหารจนทำให้มีไขมันในเส้นเลือดมากผิดปกติ ความดันโลหิตสูง ผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน เป็นต้น มักพบในเพศชายที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป และในเพศหญิงที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะในครอบครัวที่เคยมีประวัติโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ รวมไปถึงสาเหตุโรคกล้ามเนื้อหัวใจอย่างโรคทางพันธุกรรมต่างๆ ที่ปัจจุบันทำให้ผู้ป่วยมีอายุน้อยลง . 5 อาการและสัญญาณเตือนของโรคหัวใจขาดเลือด 1. อาการเจ็บแน่นหน้าอกเหมือนถูกบีบรัด หรือกดทับ 2. อาการเจ็บหน้าอกปวดร้าวไปกราม สะบักหลัง แขนซ้าย หัวไหล่ 3. เหงื่อออก จะเป็นลม หน้าซีด 4. อาการใจสั่น หอบเหนื่อย คลื่นไส้ 5. จุกบริเวณคอหอย ซึ่งบางรายอาจมีอาการจุกบริเวณใต้ลิ้นปี่ โดยในหลายๆ ครั้ง อาการเหล่านี้ แทบจะแยกจากโรคอื่นๆ ซึ่งอาจมีอาการคล้ายกันได้ลำบาก เช่น อาจทำให้สับสนกับโรคกรดไหลย้อน หรือกระดูกอ่อนซี่โครงอักเสบได้ ดังนั้น จึงไม่ควรละเลยหรือนิ่งนอนใจหากมีอาการดังกล่าว . ผู้สูงอายุหรือผู้มีปัจจัยเสี่ยงถือเป็นกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังและคอยสังเกตอาการของตัวเองเป็นพิเศษ เมื่อเกิดภาวะเหล่านี้ผู้ป่วยต้องรีบเดินทางมาโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยหาแนวทางการรักษาที่ถูกต้อง ซึ่งจากข้อมูลของไทยพบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่มาเข้ารับการรักษาล่าช้าทำให้เสียชีวิตหรือมีภาวะหัวใจวายตามมา

โรงพยาบาลเออีซี

เลขที่ 5/107 หมู่ 1 ตำบลห้วยกะปิ อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี ห้วยกะปิ เมือง ชลบุรี 20000

061-350-6197

           

แผนที่และการเดินทาง

โรงพยาบาลเออีซี

เลขที่ 5/107 หมู่ 1 ตำบลห้วยกะปิ อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี ห้วยกะปิ เมือง ชลบุรี 20000

   061-350-6197

              

ฝากข้อความติดต่อกลับ

กดติดตามรับข่าวสาร

Copyrights © 2025 All Rights Reserved. www.aechospital.com Version 1.0. Designed by WEB-BEE-DEV. +68,451 Times.